นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส. นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ว่า ปชป.ร่วมรัฐบาล = ฆ่าตัวตาย ครั้งที่2
ผมเห็นท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อการอยากร่วมรัฐบาล ตั้งแต่ตอนโหวตสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และโหวตงดออกเสียงในการเลือก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นการทอดไมตรี และรักษาน้ำใจ มีความหวังลึกๆ เพื่อต้องการจะเข้าร่วมรัฐบาล
แม้ว่าวันนี้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะออกมาแสดงความเห็นว่า ยืนยันพรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะเป็นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล แต่วันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุย ถ้ามีการประสานงานมา จะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค และขอมติจากทั้งกก.บห.พรรค และ สส.พรรคทันที หากที่ประชุมร่วมว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น และขอย้ำว่าต้องเป็นมติพรรค และทุกคนต้องปฏิบัติตามมติพรรค เพราะตนเป็นหัวหน้าพรรคที่ยึดในหลักการของพรรค
ผมในฐานะเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน ย่อมเข้าใจและอ่านเกมได้ทะลุปรุโปร่งว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาล จะใช้ มติพรรคบังคับให้ผู้อาวุโสของพรรคปฏิบัติตาม และพยายามอย่างที่สุดที่จะเป็นรัฐบาลให้ได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและอุดมการณ์ ที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณมาเป็นเวลา 20 ปี ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้อีก ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมือง ครั้งที่2
ซึ่งครั้งแรกการฆ่าตัวตายของพรรคประชาธิปัตย์ จากการมีมติด้วยเสียง 21 ต่อ 17 เข้าร่วมรัฐบาลกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยอ้างเหตุผลว่า ต้องการที่จะสร้างผลงานช่วยเหลือประชาชน โดยยอมเสียหลักการ เสียคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเสียงส่วนใหญ่ต้องการจะเป็นรัฐบาล จนทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องลาออกจาก สส. ในทันที ผลของการเป็นรัฐบาลในครั้งนั้น ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำ จากเดิมมี สส. 52 คนลดเหลือ 25 คน จากเสียงสนับสนุน 3.9 ล้านคะแนน คงเหลือเสียงสนับสนุน 9 แสนเสียง เป็นการตกต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 78 ปีของพรรคประชาธิปัตย์
ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอุดมการณ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และต่อสู้ทางการเมืองมาร่วมเวลา 20 ปี แต่ในที่สุดหวังเพื่อเข้าร่วมรัฐบาลต้องการเป็นรัฐมนตรี โดยไม่แคร์ความรู้สึกของผู้อาวุโสภายในพรรค มวลสมาชิกและประชาชนผู้สนับสนุน ก็อาจจะทำให้ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหลือเหลืออยู่เพียงน้อยนิดหายไปอีกจำนวนหนึ่ง จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำลงไปอีก ถ้ากรรมการบริหารและ สส.ชุดนี้คิดแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง และจะไม่เหลืออุดมการณ์และจุดยืนของพรรค ในการต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบอย่างแน่นอน
ถ้าหากผมเป็นผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ ผมจะประกาศเป็นฝ่ายค้าน ต่อสู้กับระบอบทักษิณเพื่อเรียกศรัทธาคืนมา จะเป็นหัวหอกของฝ่ายอนุรักษนิยม และจะใช้อุดมการณ์ทางการเมืองต่อสู้ในสนามเลือกตั้งมากกว่าสะสมทุน เพื่อไปซื้อเสียง ซึ่งไม่ใช่แนวทางของพรรคประชาธิปัตย์