ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ให้สัมภาษณ์ในรายการ “แชร์เล่าข่าวเด็ด” ทางคลื่น MCOT NEWS FM 100.5 เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจในสังคม การทําร้ายร่างกายและความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง ที่มีการสาดน้ำร้อนใส่กันจนทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทนายรณณรงค์กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องการทําร้ายร่างกายแบบธรรมดา แต่เป็นการกระทำที่ทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดแผลที่สามารถส่งผลกระทบไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นแผลที่เกี่ยวข้องกับการเผาหรือการโดนน้ำร้อนลวก ซึ่งต้องใช้เวลานานในการรักษาและอาจต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำศัลยกรรมพลาสติกเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวหนังที่ได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ ทนายรณณรงค์ยังได้อธิบายถึงบทลงโทษตามกฎหมายว่า การทําร้ายร่างกายที่ทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น จะมีโทษที่รุนแรงขึ้น หากเป็นการทรมานผู้เสียหายด้วยการกระทำที่ตั้งใจให้เกิดความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งการทำร้ายในลักษณะนี้จะได้รับโทษเพิ่มขึ้นจาก 10 ปีเป็นมากกว่าเดิม โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกระทำ
ทนายรณณรงค์ยังย้ำว่า ความรุนแรงในสังคมไทยเริ่มกลายเป็นเรื่องที่คุ้นเคยและอาจจะยิ่งรุนแรงขึ้น หากไม่ได้รับการป้องกันและลงโทษที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้กระทำความผิดคิดว่า สามารถจ่ายเงินแล้วจบได้ หรืออาจจะมีผู้มีอิทธิพลมาคุ้มครอง
สำหรับการขอไกล่เกลี่ยในคดีนี้ ทนายรณณรงค์ได้ชี้ว่า กฎหมายอาญาไม่ได้ให้สิทธิในการตกลงกันเพื่อยุติคดีในกรณีที่มีการทำร้ายร่างกายจนเกิดความเสียหายรุนแรง โดยการชำระค่าเสียหายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในกรณีที่ไม่มีอันตรายสาหัส แต่หากเป็นการทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัส การไกล่เกลี่ยหรือถอนฟ้องไม่สามารถทำได้
ทนายรณณรงค์ยังเสริมว่า ในกรณีของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ได้ลงมือทำร้าย การต่อสู้ทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ว่าเขามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่ และการอ้างว่าเป็นผู้เสียหายจากการถูกบังคับให้กระทำความผิดก็ต้องได้รับการตรวจสอบตามกระบวนการทางกฎหมาย