นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีการได้รับการพักโทษของนายทักษิณ ชินวัตร ว่า หลักกระบวนการยุติธรรม ต้องเป็นที่พึ่งที่หวังให้กับพี่น้องประชาชนมีความน่าเชื่อถือ กรณีของคุณทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลไม่ตระหนักถึงหลักนิติธรรมตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ทุกอย่างเป็นความลับช่วยปกปิดความจริงกันอย่างเป็นระบบ หลักนิติธรรมถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี อำนาจตุลาการถูกท้าทายจากอำนาจราชทัณฑ์ซึ่งเป็นปลายทาง ของกระบวนการยุติธรรม
ที่บอกว่านายทักษิณได้รับโทษจำคุกถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลารวม 6 เดือน ชัดเจนจากข้อเท็จจริงว่า นายทักษิณไม่ได้ติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว ป่วยจริงหรือไม่ รักษาตัวอยู่จริงหรือไม่ ประชาชนรู้ทัน บุคคลที่อยู่ในระบบทักษิณถวิลหาความยุติธรรมที่เท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ แต่ก็เป็นแค่ลมที่ผ่านออกมาจากปากไม่ใช่คำพูดที่เกิดจากสามัญสำนึก แต่เป็นการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน ไร้ความเท่าเทียม เหยียบย้ำอำนาจศาล ไร้ซึ่งหลักนิติธรรม ถ้ากระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนการบังคับโทษเป็นเช่นนี้ แล้วหลักการของบ้านเมืองจะเหลืออะไร ประชาชนจะพึ่งหวังกระบวนการได้อย่างไร
นายราเมศกล่าวต่อไปว่า ในประเด็นของกระบวนการพักโทษนั้นแม้จะเป็นหลักการที่ราชทัณฑ์ใช้กับนักโทษทั่วไป แต่พี่น้องประชาชนมีความติดใจในเรื่อง “การจำคุกจริงหรือไม่” และในเรื่องนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เคยเสนอ ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ กับคณะ ต่อสภาชุดที่ผ่านมา แต่ญัตติได้ตกไปเนื่องจากหมดวาระของสภาชุดดังกล่าว ดังนั้นตนในฐานะกรรมการบริหารพรรคจะได้นำกฎหมายฉบับนี้มาปรับปรุงและเสนอต่อที่ประชุม สส. โดยจะให้มีการแก้ไขในเรื่องอำนาจในบางเรื่องของกรมราชทัณฑ์ เพื่อให้เป็นไปตามหลักกระบวนการยุติธรรม และรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อพรรคพิจารณาแล้วจะได้ยื่นเป็นญัตติใหม่ในการประชุมสภาชุดนี้
ซึ่งสาระสำคัญของ ร่างฯ ฉบับนี้ ได้มองเห็นถึงปัญหาของการบังคับโทษในส่วนของกรมราชทัณฑ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคณะกรรมการอิสระเพื่อพิจารณาประโยชน์ของผู้ต้องขัง เนื่องจากเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว แต่ศาลไม่มีอำนาจในการพิเคราะห์พิจารณาว่าจะให้มีการลดโทษ หรือพักโทษ กับนักโทษคดีนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าวควรจะมีโครงสร้างที่มีตัวแทนจาก ผู้พิพากษาในศาลฎีกา ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ผู้ตรวจการแผ่นดิน คกก.สิทธิมนุษยชน เป็นต้น
“เราถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการป้องกันการใช้อำนาจโดยอำเภอใจโดยองค์กรบางองค์กร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากรณีเดียวกับที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณ จำคุกจริง-ไม่จริง ป่วยจริง-ไม่จริง รักษาอยู่ที่โรงพยาบาล จริง-ไม่จริง ทุกอย่างเป็นความลับหมด” นายราเมศ กล่าว
พร้อมกับเพิ่มเติมอีกว่า ในการแก้ไข พ.ร.บ. ดังกล่าวนั้น ก็เพื่อให้คงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ นิติธรรม ปลายทางของกระบวนการยุติธรรม และการใช้อำนาจของกรมราชทัณฑ์อย่างแท้จริง ซึ่งพรรคการเมืองก็ต้องมีวุฒิภาวะในการตรวจสอบ และดำเนินการให้บ้านเมืองมีกฎเกณฑ์ มีกติกาภายใต้ระบบนิติรัฐ ฉะนั้นความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากถูกด้อยค่าให้ลดน้อยถอยลงจากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ก็แสดงว่ากำลังเกิดอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายแล้ว
“ไม่มีใครสามารถอ้างได้ว่าเป็นโรคเช่นเดียวกับคุณทักษิณ ต่อไปอาจจะมีคนอ้างในระหว่างที่ถูกคุมขังได้ว่า ผมเป็นโรคคุณทักษิณ เมื่อเป็นโรคคุณทักษิณก็สามารถไปรักษาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมีใครรู้ ไม่ต้องมีใครทราบว่าจะรักษายังไง ผมไม่อยากให้เกิดทักษิณโมเดลในปลายทางของกระบวนการยุติธรรม” นายราเมศ กล่าว