พรรคก้าวไกล จัดแถลงข่าวกรณีการทุจริตจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของ กทม. โดย นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 9 ระบุว่า หลังตนเปิดเผยข้อมูลตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ต่อมากรุงเทพฯ เริ่มกระบวนการสอบภายใน จนกระทั่ง กทม. แถลงว่าเครื่องออกกำลังกายเหมือนจะมีราคาสูงกว่าท้องตลาด และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทม. ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง แต่เมื่อครบกำหนดแล้วเมื่อ กลับไม่มีการแถลง ที่สำคัญคือผู้ว่าชัชชาติ ยังไม่ระบุว่ามีการทุจริตหรือไม่
ในฐานะคนที่เปิดเผยข้อมูลนี้และติดตามมาตลอด จึงขอแถลงเพิ่มเติมเผื่อเป็นประโยชน์กับทางกรุงเทพฯ ว่าเรื่องนี้มีกระบวนการที่ไม่เหมาะสมอย่างไร โดยมีทฤษฎีที่ตนตั้งชื่อว่า “สามล็อก” ได้แก่
1.ล็อกสเปค จะมีการระบุคำสำคัญที่เมื่ออ่านแล้วชัดเจนมากว่าต้องเป็นยี่ห้อไหน
2.ล็อกสืบราคา เมื่อล็อกสเปกแล้ว ต่อมาคือทำให้ราคากลางสูง โดยมักมีข้อผูกพันอะไรบางอย่าง เช่น ถ้ามีการเขียนสเปคให้เป็นของยี่ห้อ Pulse Fitness ก็จะมีการสืบราคาซึ่งอย่างน้อย 1 ใน 3 เจ้านั้น ต้องเป็นบริษัท A ตลอดเวลา หรือถ้าเป็นยี่ห้อ WQN fitness ก็จะสืบราคาจากบริษัท B ทุกครั้ง
.
3.ล็อกผลงาน ในกรณีล็อกทั้ง 2 ข้อแรกแล้ว แต่บังเอิญมีคนหลุดมาได้ ก็จำเป็นต้องใช้ล็อกผลงานเพื่อสกัดอีกชั้น ซึ่งที่ผ่านมา กทม. ไม่ได้มีมาตรฐานตายตัว บางโครงการกำหนดวงเงินหรือกำหนดจำนวนสัญญา
ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า เข้าใจความกระอักกระอ่วนของผู้ว่าชัชชาติ ที่บอกว่า 10 บริษัทที่ขอราคาไปยังไม่ให้ข้อมูลกลับมา ตนเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องขอ ขอแนะนำให้คณะกรรมการของ กทม. สืบราคาเลยจากท้องตลาด ว่าราคาที่เป็นจริงอยู่ที่เท่าไหร่ และราคาที่ประมูลได้ในครั้งนี้แพงเกินจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์นี้ไม่ควรเพ่งเล็งเฉพาะครุภัณฑ์ในการออกกำลังกาย เหตุการณ์เหล่านี้เกิดบ่อยครั้งกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยขอให้โฟกัสที่คำว่า “งบแปร” ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี ในการพิจารณางบประมาณ ทางสภา กทม. จะแต่งตั้งคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณของกรุงเทพ วงเงินประมาณ 90,000 ล้านบาท โดยปกติคณะกรรมการมี 36 ท่าน ประกอบด้วย ส.ก. 27 คน แบ่งเป็นเพื่อไทย 14 คน ก้าวไกล 6 คน ประชาธิปัตย์ 6 คน และอิสระอีกหนึ่งคน รวมกับคนที่ผู้ว่า กทม. แต่งตั้งอีก 9 คน ซึ่งไม่ได้มีข้อบังคับใดห้ามคนนอกที่มีความรู้ความสามารถเรื่องการงบประมาณหรือการตรวจสอบการทุจริตเข้ามาร่วม
กลไกการทำงานคือคณะกรรมการเหล่านี้ จะตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก ในปีงบที่ผ่านมามีการตกลงกันว่าให้ ส.ก. แต่ละคน ตั้งอนุฯ ขึ้นมาร่วมกันพิจารณางบ โดยเฉพาะงบในแต่ละเขต เพราะการพิจารณางบของแต่ละสำนักและงบ 50 เขต เป็นภาระที่ใหญ่มาก และต้องทำให้เสร็จภายใน 45 วัน โดย ส.ก. แต่ละคนตั้งบุคคลภายนอกได้ 3 คน เท่ากับต้องมีคนนอกเข้ามาร่วมอยู่แล้ว 150 คน ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด
แต่ครั้งนี้ พรรคก้าวไกลต้องการผลักดันให้ไกลกว่าเดิม โดยเสนอว่าในสัดส่วน 6 คน เราจะเสนอบุคคลภายนอก 2 คนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวข้องกับการพิจารณางบประมาณและการตรวจสอบทุจริต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เป็นบรรทัดฐานที่อยากให้เกิดขึ้นในการพิจารณางบประมาณของท้องถิ่นอื่นๆ ตนได้แจ้งผู้ว่าชัชชาติ ทางผู้ว่าก็ยินดีที่จะได้ช่วยกันทำให้งบกรุงเทพฯ โปร่งใส
โดยคณะกรรมการวิสามัญฯ กับอนุฯ จะทำงานร่วมกันในการตัดงบประมาณในโครงการที่ไม่จำเป็น หรือมีความล่าช้าในการดำเนินโครงการ และสำรองงบประมาณเอาไว้เกินจำเป็น และอาจเชื่อว่าเบิกจ่ายไม่ทันซึ่งสุดท้ายต้องคืนคลัง เสียผลประโยชน์กับการเอาไปทำโครงการที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ดังนั้นคณะกรรมการวิสามัญกับอนุฯ จะร่วมพิจารณาปรับลดแล้วมากองรวมกันเรียกว่า “งบแปร” อยู่ที่ประมาณ 4000-5000 ล้านบาทต่อปี เป็นอำนาจของผู้ว่า กทม. และส่วนงานราชการของกรุงเทพฯ ที่จะนำรายงานจากคณะกรรมการสามัญต่างๆ หรือคำอภิปรายของ ส.ก. หรือข้อคิดเห็นของผู้อำนวยการเขต มาพิจารณาว่าเงินจำนวนดังกล่าวควรใส่โครงการไหนที่ตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่
ดังนั้นสิ่งที่ควรเป็นคือ ส.ก. จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับงบแปร เพราะถือเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่ ส.ก.จะเข้าไปกำกับดูแลติดตาม ว่าโครงการที่ใช้งบแปรนั้น ดำเนินการอย่างรวดเร็วหรือล่าช้า มีความโปร่งใส ในการจัดซื้อจัดจ้างและดำเนินการหรือไม่ แต่ถ้ามองงบแปรในมุมไม่ดี ก็จะเป็นปัญหา เป็นบ่อเกิดของการทุจริตได้เช่นกัน กล่าวคือจะมี ส.ก. กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเข้าไปกดดันข้าราชการหรือ ผอ.เขตในพื้นที่ ว่าให้ใช้งบแปรซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้ของเครือข่ายพรรคพวกตัวเอง หรือให้พรรคพวกเข้ารับงานก่อสร้างแล้วเอาเงินทอนจากโครงการนั้น เท่ากับต่อปีจะมีเงินรั่วไหลไปเข้ากระเป๋าของนักการเมืองที่ทุจริต หลักร้อยหรือพันล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมของ ส.ก. บางกลุ่ม รวมกันข่มขู่ตบทรัพย์ผู้ว่า คือกดดันฝ่ายบริหารว่าถ้าโครงการนี้ของกรุงเทพฯ ไม่ยอมเอามาให้ผู้รับเหมาในเครือข่ายของตัวเอง ไม่ยอมล็อกสเปคให้ได้งาน ก็จะรวมหัวกันตัดงบของผู้ว่าฯ ทำให้ผู้ว่าฯ ต้องเจอแรงกดดันแบบนี้เรื่อยไป โดยในเอกสารไม่สามารถระบุได้ว่างบแปรรายการนี้เป็นของ ส.ก. กลุ่มใด ผู้ว่าฯ และข้าราชการต้องเป็นคนแบกหน้าไว้ทั้งหมด เช่นเดียวกับการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นี้ ตนเชื่อว่าไม่ใช่งบของผู้ว่า กทม. โดยตรงตั้งแต่แรก แต่เป็นงบแปรของ ส.ก. กลุ่มหนึ่ง เพียงแต่คนลงนามเป็นผู้ว่าฯ ซึ่งคงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
จึงเป็นเหตุผลที่พรรคก้าวไกลยืนยันการเสนอบุคคลภายนอก 2 ท่านเข้าไปเป็นคณะกรรมการวิสามัญพิจารณางบของ กทม. ปีนี้แน่นอน เชื่อว่าเมื่อขานชื่อจะได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น ทำให้งบของ กทม. ถูกใช้อย่างโปร่งใสกว่าเดิม โดยในการเลือกตั้ง สส. และ ส.ก. ครั้งต่อไป ถ้าประชาชนต้องการให้งบประมาณไปสู่ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย พรรคก้าวไกลก็พร้อมอาสาในหน้าที่นั้น