นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ ในรายการ “แชร์เล่าข่าวเด็ด” ทางคลื่นข่าว MCOTNEWS FM100.5 ถึงกรณี ดราม่า “วัคซีนคุมกำเนิดช้าง” ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ ว่า ปัญหาช้างป่าในประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้างป่าตั้งแต่ปี 2565 เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหา หลังพบว่าช้างป่าก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและทรัพย์สิน รวมถึงมีผู้เสียชีวิตสะสมถึง 240 ราย และบาดเจ็บ 208 คน
นายอรรถพลกล่าวว่า “วัคซีนคุมกำเนิดช้าง” เป็นหนึ่งใน 6 มาตรการที่ถูกนำมาใช้ เพื่อลดอัตราการเพิ่มของประชากรช้าง ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 4,400 ตัว ทั่วประเทศ และเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% ต่อปี วัคซีนดังกล่าวจะควบคุมฮอร์โมนของช้างตัวเมียไม่ให้มีลูก โดยผลของวัคซีนมีอายุประมาณ 7 ปีต่อการฉีดหนึ่งครั้ง
“วัคซีนตัวนี้ได้รับการทดลองในแอฟริกามาก่อน และเราเริ่มทดลองในไทยแล้ว ทั้งในช้างบ้านและช้างป่า เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผลกระทบต่อพฤติกรรม สุขภาพ หรือโครงสร้างทางสังคมของช้าง” นายอรรถพล ยืนยัน
นอกจากนี้ นายอรรถพลเน้นย้ำว่า วัคซีนคุมกำเนิดไม่ได้เป็นการทำหมันถาวร และไม่ได้ฉีดให้ช้างทุกตัว แต่จะเลือกใช้ในพื้นที่ที่มีปัญหาอย่างรุนแรง เช่น ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ซึ่งช้างจำนวนมากเข้ามากินพืชผลการเกษตรจนเกิดความเดือดร้อน
นายอรรถพล ชี้แจงว่าการย้ายช้างไปยังพื้นที่ใหม่เป็นเรื่องยาก เนื่องจากพื้นที่ป่าในไทยไม่เพียงพอรองรับช้างเพิ่มเติม และบางชุมชนไม่ยินยอมให้ย้ายช้างเข้าไป สิ่งที่กรมอุทยานฯ กำลังทำคือพัฒนาพื้นที่ป่าเดิมให้เหมาะสม โดยการสร้างแหล่งน้ำและอาหาร เพื่อให้ช้างสามารถกลับเข้าป่า แต่การผลักดันช้างต้องทำงานอย่างหนักและเสี่ยงอันตรายจากช้างและสัตว์มีพิษในป่า ทั้งนี้ หน่วยงานกำลังของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มชุดผลักดันช้างจากปัจจุบัน 86 ชุดทั่วประเทศให้เพียงพอ
“ในโลกออนไลน์บางคนกลัวว่าการใช้วัคซีนจะทำให้ช้างสูญพันธุ์ แต่ขอยืนยันว่าช้างในไทยยังมีจำนวนมาก และเราทำงานภายใต้หลักการอนุรักษ์และบริหารจัดการประชากรอย่างสมดุล” นายอรรถพลกล่าว
ฉะนั้น หลังปีใหม่จะมีการประชุมนักวิชาการเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและเริ่มฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่กำหนด โดยตั้งเป้าแก้ไขปัญหาระยะยาวเพื่อให้คนและช้างอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล
อย่างไรก็ตาม สะท้อนถึงความซับซ้อนของการจัดการประชากรช้างป่าในประเทศไทยที่ต้องอาศัยการทำงานหลายมิติและการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคม