นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยผ่าน Facebook Live ว่า สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานครยังคงวิกฤติ โดยข้อมูลวันที่ 26 มกราคม เวลา 07.00 น. พบค่าเฉลี่ย PM2.5 อยู่ที่ 58.6 มคก./ลบ.ม. ซึ่งสูงเกินมาตรฐานและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
ปัญหาหลัก กทม.ไร้อำนาจเต็มมือในการจัดการรถควันดำ
นายชัชชาติระบุว่า ข้อจำกัดด้านอำนาจเป็นอุปสรรคสำคัญ โดย กทม. สามารถตรวจสอบและแจ้งให้แก้ไขได้เฉพาะ รถกระบะ 4 ล้อ เท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจจัดการกับ รถบรรทุก และ รถเมล์ควันดำ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของมลพิษในเมือง โดยหน้าที่นี้เป็นของ กรมการขนส่งทางบก
“บางคนด่าว่าทำไม กทม.มีแต่รถเมล์ควันดำ รถบรรทุกควันดำ เต็มถนนไปหมด เพราะ กทม.ไม่มีอำนาจจับ แม้อยากจับใจจะขาด กทม.มีอำนาจแค่รถ 4 ล้อ แจ้งให้แก้ไขใน 30 วัน และติดสติ๊กเกอร์เท่านั้น” นายชัชชาติกล่าว
ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
นายชัชชาติได้นำเสนอแนวทางต่อรัฐบาลเพื่อเพิ่มอำนาจให้ กทม. จัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
เพิ่มอำนาจ กทม. เป็นเจ้าพนักงานภายใต้ พ.ร.บ.ขนส่ง เพื่อควบคุมและจับกุมรถบรรทุกและรถเมล์ควันดำ
ลดค่าความทึบแสงในการตรวจรถยนต์ควันดำ จากปัจจุบันไม่เกิน 30% เหลือเพียง 10% เพื่อให้การตรวจจับมีความเข้มงวดมากขึ้น
เพิ่มความเข้มงวดในมาตรการจัดการรถควันดำ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการขนส่งทางบก เข้ามาร่วมมือกับ กทม.
ปัญหาจำนวนรถยนต์เก่าใน กทม.
กรุงเทพมหานครมีรถยนต์มากกว่า 13 ล้านคัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถเก่า ระบบภาษีปัจจุบันกลับเอื้อให้รถเก่าเสียภาษีถูกกว่ารถใหม่ ส่งผลให้รถเก่ามีจำนวนมากขึ้นและก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศสะสม
แนวทางระยะยาว เพิ่มพื้นที่สีเขียว
นอกจากมาตรการด้านการจราจร กทม. ได้ตั้งเป้าปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น เพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่นในระยะยาว ปัจจุบันได้ปลูกแล้ว 1,225,336 ต้น เกินเป้าหมายที่วางไว้ โดยต้นไม้เหล่านี้จะช่วยดูดซับฝุ่นละอองและเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เมืองในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
สรุป
นายชัชชาติยอมรับว่า มาตรการปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เต็มที่ เนื่องจากอำนาจการดำเนินการของ กทม. ยังมีข้อจำกัด พร้อมเน้นย้ำว่าต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดการกับปัญหาอย่างยั่งยืน