นายเกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Good Morning ASEAN” ทาง MCOT NEWS FM100.5 ถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่กลายเป็นวิกฤตซ้ำซากในไทย และวิเคราะห์แนวทางแก้ไขที่ยังไม่มีผลสำเร็จ
นายเกษมสันต์ กล่าวว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นวิกฤตสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทย พบคนไทยกว่า 12 ล้านคน หรือเกือบ 20% ของประชากร ป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ 13 โรคสำคัญ เช่น โรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีผู้ป่วยโรคมลพิษทางอากาศ 2.4 ล้านคนในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ถ้ามีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศในไทยมีจำนวนถึง 50,000 คนต่อปี หรือคิดเป็น 4 คนต่อชั่วโมง ซึ่งนับเป็นความสูญเสียที่ไม่อาจมองข้าม
นอกจากนี้ รัฐบาลจะประกาศให้ PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติในปี 2562 แต่ปัญหายังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง การจัดการขาดความต่อเนื่องและไม่มี “เจ้าภาพ” ที่รับผิดชอบชัดเจน นโยบายส่วนใหญ่ เช่น การลดการเผาในพื้นที่เกษตร การควบคุมรถควันดำ และการปรับมาตรฐานเชื้อเพลิงให้เป็นยูโร 6 ยังไม่เห็นผล
มาตรการ 6 ข้อของนายกรัฐมนตรี ได้แก่
1. ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชน ให้เจ้าหน้าที่และพนักงานสามารถทำงานแบบ WFH เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และได้สั่งการไปทางกระทรวงคมนาคมให้สนับสนุนยกเว้นค่ารถไฟฟ้า-ค่ารถเมล์ ภายใต้กำกับของรัฐเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. 68 เป็นต้นไป เพื่อลดปริมาณฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์
2. ให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด หากมีความชื้นมากเพียงพอ ขอให้ปฏิบัติการฝนเทียมเจาะช่องบรรยากาศทั่วกรุงเทพฯ
3. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิดหากพบเห็นการเผา ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายทันที
4. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับรับแจ้งเหตุการณ์เผา ให้พี่น้องประชาชนสามารถรายงานจุดที่เกิดการเผาได้อย่างรวดเร็วและเร่งแก้ปัญหาที่พบในทันที
5. ขอความร่วมมือไปยัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ให้กวดขันไซต์ก่อสร้างที่ไม่คลุมผ้าป้องกันฝุ่นตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และช่วงอากาศปิด ขอความร่วมมือให้เลื่อนการก่อสร้างที่ทำให้เกิดฝุ่นละออง
6. ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคน กวดขันรถควันดำโดยเคร่งครัด
นายเกษมสันต์ กล่าวต่อว่า มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและขาดการวางแผนระยะยาว นอกจากนี้ ประเทศไทยควรมี ‘เจ้าภาพ’ ที่ชัดเจนในการจัดการปัญหานี้ และพร้อมศึกษาแนวทางจากประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น จีน เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องมีเจ้าภาพชัดเจนและบังคับใช้กฎหมายจริงจัง หากไม่แก้ไขปัญหาซ้ำซากและล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจในระยะยาว