ประชาชนต้องมาก่อน! “ปชน.” จี้แก้ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม หยุดเอื้อกลุ่มทุน

wewy (2)-min

 

“สุรเชษฐ์” เสนอร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ยก 5 ความแตกต่าง ชี้ร่าง ครม. เพี้ยนจากร่างเดิมของ สนข. แนะใช้ฉบับพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก

(29 ม.ค.68) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ซึ่ง นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้เสนอร่างของพรรคประชาชนเข้าประกบร่วมการพิจารณาในวันนี้ด้วย
.
โดยนายสุรเชษฐ์ ได้อภิปรายถึงหลักการและเหตุผลของร่างที่นำเสนอโดยพรรคประชาชน ระบุว่าโดยหลักการแล้วพรรคประชาชนให้การสนับสนุนการมีตั๋วร่วม แต่ที่พรรคประชาชนต้องทำร่างประกบเพราะมีหลายประเด็นสำคัญที่มีความแตกต่างกัน โดยข้อเท็จจริงสำคัญที่น่าจะเห็นตรงกันได้ คือระบบขนส่งสาธารณะในปัจจุบันมีปัญหามาก เพราะเอาผู้ประกอบการเป็นตัวตั้ง ปล่อยให้แยกกันคิดเงินโดยไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ทำให้เวลาประชาชนจะเดินทางข้ามสายไม่สะดวกและต้องจ่ายแพงกว่าที่ควรเป็น จ่ายค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ผู้ใช้หลายเส้นทางหลายรูปแบบการเดินทางไม่ได้รับความสะดวกทั้งเสียเงินและเสียเวลามากเกินจำเป็น นี่คือสิ่งที่รัฐต้องเปลี่ยนมุมมองให้นำเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาผู้ประกอบการเป็นตัวตั้ง กล่าวคือการขึ้นสายสีเขียว 10 สถานี ควรจ่ายเท่ากับขึ้นสายสีเขียว 5 สถานีแล้วไปต่อสายสีน้ำเงิน 5 สถานี
.
โดยคำสำคัญที่ตนยืนยันว่ามีความแตกต่างกันในทางเทคนิค คือคำว่า “ตั๋วร่วม” (Common Ticket) กับ “ค่าโดยสารร่วม” (Common Fare) ซึ่งแม้ว่าชื่อของ พ.ร.บ. จะใช้คำว่า “ตั๋วร่วม” แต่สิ่งที่จะส่งผลต่อชีวิตประชาชนจริงๆ ก็คือการทำระบบค่าโดยสารร่วม หรือถ้าประชาชนเดินทางสองสายจะงดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนได้อย่างไร นี่เป็นสองคำที่ต้องไม่สับสน
.
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงหนึ่งที่สำคัญมากคือการที่หลายคนพูดถึงแต่เรื่องราง แต่สิ่งที่ประเทศไทยขาดจริงๆ คือระบบขนส่งสาธารณะ จะทำอย่างไรให้มีการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการจริงๆ เวลาพูดถึงนโยบายอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง นโยบายพรรคเพื่อไทยเขียนแบบหนึ่ง ชูมาเสมอว่า “ตั๋วร่วม 20 บาทตลอดสาย” แต่คำที่ถูกคือ “ค่าโดยสารร่วม 20 บาทตลอดทาง เฉพาะรถไฟฟ้า” ส่วนตนและพรรคประชาชนเสนอนโยบาย “ค่าโดยสารร่วม 8-45 บาทตลอดทาง รถเมล์ร่วมรถไฟฟ้า” เอาโลกคู่ขนานสองใบมาบูรณาการโครงข่ายร่วมกัน ไม่ใช่แค่ระบบรางเท่านั้น แต่แม้ทั้งสองพรรคจะมีนโยบายที่แตกต่างกัน แต่เราต้องการ พ.ร.บ. ตัวเดียวกัน ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนนโยบายใดนโยบายหนึ่ง แต่เพื่อเป็นกรอบคิดว่าเมื่อมีตั๋วร่วมแล้วจะทำ “ค่าโดยสารร่วม” อย่างไรให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุด โครงข่ายรถเมล์ควรทำงานร่วมกับรถไฟฟ้าหรือไม่ หรือปล่อยให้เป็นโลกคู่ขนานแบบนี้
.
พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ มีประเด็นสำคัญคือค่าโดยสารร่วม และเรื่องนี้ตนเคยเตือนแล้วว่าที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ว่า 20 บาทตลอดสายภายใน 3 เดือนเป็นไปไม่ได้ ต้องมี พ.ร.บ.รางฯ และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ วันนี้มีการเสนอ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการต่อยอดนโยบายไม่ว่าจะจากพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาชน ประเด็นจากนี้คือจะเขียน พ.ร.บ. อย่างไรให้ครอบคลุมเป็นกฎหมายสำคัญสำหรับประเทศนี้ ไม่ว่านโยบายรัฐบาลจะเปลี่ยนไปอย่างไร
.
โดยข้อแตกต่างหลักของ พ.ร.บ. ทั้งสองฉบับอาจสรุปเป็น 5 ประเด็นสำคัญ กล่าวคือ
.
1) นิยามที่ชัดเจนขึ้น ลดความสับสน โดยในร่างของรัฐบาล ระบุนิยามของระบบตั๋วร่วมไว้ว่า “หมายถึงการให้บริการขนส่งสาธารณะแก่ผู้โดยสารโดยผู้ให้บริการ” ซึ่งเป็นการนิยามที่ผิด ระบบขนส่งสาธารณะมีทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ ฯลฯ รถไฟฟ้าอาจบังคับทุกสายให้เข้ามาในระบบได้ แต่รถเมล์คงต้องทยอยเข้ามา ไหนจะเรือที่ออกใบอนุญาตไป แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกสายทุกระบบจะอยู่ในระบบตั๋วร่วมได้พร้อมกันทันที ทำให้นิยามดังกล่าวเป็นนิยามที่คลาดเคลื่อนไปมากและจะส่งผลต่อมาตราอื่นๆ ด้วย
.
พรรคประชาชนจึงเสนอนิยามความหมายที่ชัดเจนขึ้น ให้ระบบตั๋วร่วมหมายถึง “ระบบชำระค่าโดยสาร ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการขนส่งสาธารณะทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งใช้มาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม” โดยมีการแยกมาตรฐานเทคโนโลยีมาอธิบายเพิ่มเติมด้วย
.
อีกตัวอย่างหนึ่งคือในมาตรา 17 ซึ่งฉบับรัฐบาลเขียนไว้ว่า “ใบอนุญาตการให้บริการขนส่งผู้โดยสารในระบบตั๋วร่วม” ซึ่งผิดอีก ข้อเสนอที่ดีกว่าคือ “ใบอนุญาตการให้บริการระบบตั๋วร่วมในระบบขนส่งสาธารณะ” ซึ่งตรงตามเจตนารมณ์ของการร่างกฎหมายมากกว่า เพราะการขออนุญาตตาม พ.ร.บ. นี้เป็นการขอใบอนุญาตเพื่อให้บริการระบบตั๋วร่วม ไม่ใช่การขออนุญาตเพื่อให้บริการขนส่งสาธารณะ
.
2) เพิ่มสัดส่วนผู้แทนประชาชนในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม ซึ่งในร่างเดิมของสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) ได้เสนอให้มีสัดส่วนประชาชนในนามประธานสภาองค์กรผู้บริโภค แต่ฉบับปัจจุบันกลับมีการเอาออกแล้วเอาอธิบดีกรมบัญชีกลางมาใส่แทน โดยอ้างว่าจะไปซ้ำซ้อนกับเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน เพราะคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหน่วยงานราชการ แต่สภาองค์กรผู้บริโภคเป็นสภาที่มาจากหลายหน่วยงานอิสระ ตนจึงอยากให้คงไว้ตามร่างดั้งเดิม ก่อนรัฐบาลชุดนี้มาปรับแก้
.
3) เพิ่มความชัดเจนและกลไกในการบังคับใช้จริง โดยตั๋วร่วมจะเอามาบังคับใช้จริงแต่กับรถไฟฟ้าถือว่าไม่เพียงพอ เพราะยังมีระบบอื่นที่สำคัญด้วย เช่น รถเมล์ ซึ่งฐานผู้ใช้เป็นผู้มีรายได้น้อยกว่าด้วยซ้ำ พรรคประชาชนจึงเสนอแก้ไขเพื่อให้เวลามีกฎหมายลำดับรองเกี่ยวกับระบบตั๋วร่วม ผลบังคับต้องครอบคลุมไปถึงการออกใบอนุญาต ไม่ใช่มองเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ต้องมองไปถึงการขนส่งทางบก เรือ และรางด้วย
.
เช่น ในมาตรา 14 ฉบับของรัฐบาลเขียนไว้เฉพาะ “สัญญาสัมปทาน สัญญาร่วมงาน หรือสัญญาร่วมลงทุน” แต่ของพรรคประชาชนเติมถ้อยคำเพิ่มไปว่า “หรือใบอนุญาตที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับระบบตั๋วร่วม” และมีการขยายความต่อว่า “ใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้หมายรวมถึงใบอนุญาตประกอบการขนส่งทางบก ทางราง และทางเรือเข้าไปด้วย”
.
ในมาตรา 16 เพื่อให้แน่ใจว่าการบังคับใช้ตั๋วร่วมในพื้นที่หรือเส้นทางหนึ่งจะตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้ที่เกี่ยวข้องและคำนึงถึงผลกระทบในมิติต่างๆ อย่างรอบคอบ จึงเติมข้อความลงไปว่า “ให้สำนักงานศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตราพระราชกฤษฎีกา และจัดทำแผนการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมสำหรับพื้นที่หรือเส้นทางนั้น”
.
4) เพิ่มหน้าที่ผู้ประกอบกิจการตั๋วร่วมให้เปิดเผยสถานะทางการเงิน ในมาตรา 23 นอกจากเพื่อความโปร่งใสแล้ว ต้องคำนึงถึงการที่รัฐในอนาคตต้องเข้าไปอุดหนุนระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะระบบรองอย่างระบบรถเมล์มากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการเปิดเผยข้อมูล ทั้งรายงานการประกอบกิจการและงบกระแสเงินสดทุก 6 เดือน นับจากวันที่ประกอบการ เพื่อที่รัฐจะได้รู้ว่าอุดหนุนเท่าไหร่ดี และเปิดเผยบัญชีที่ถือเงินของประชาชนไว้ อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา
.
5) เพิ่มความชัดเจนในการใช้เงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมตามมาตรา 34 ซึ่งร่างฉบับรัฐบาลขาดความชัดเจนในด้านวัตถุประสงค์ เพราะการอุดหนุนอย่างนโยบาย 20 บาทตลอดสายต้องใช้เงินปีละเป็นหมื่นล้าน ยังไม่ต้องพูดถึงเงินที่จะไปกองอยู่กับบัตรต่างๆ ในอนาคต ทำให้จะมีเงินมากองอยู่ที่กองทุนนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เวลาจะใช้นอกจากต้องเปิดเผยแล้ว ต้องมองด้วยว่าการใช้เงินในกองทุนสมเหตุสมผลหรือไม่ จึงควรมีการระบุวัตถุประสงค์ของกองทุนให้ชัดเจน
.
นอกจากนี้ร่างของพรรคประชาชนยังจะมุ่งสร้างสมดุลของการอุดหนุนบริการขนส่งสาธารณะโดยคำนึงถึงภาระทางการคลังระยะยาว ให้สัดส่วนในการใช้เงินรัฐไปอุดหนุนระบบขนส่งสาธารณะทั้งในกรุงเทพหรือในต่างจังหวัด ต่อระบบรถไฟฟ้าหรือระบบรถเมล์ ต้องมีความสมดุลกัน ไม่ใช่ตามใจคนที่มาถืออำนาจและใช้เงินหลวงไปอย่างสะเปะสะปะ
.
ในมาตรา 31 ก็เช่นกัน ร่างของพรรคประชาชนเพิ่มข้อความเกี่ยวกับเงินกองทุนในการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ทั้งสำหรับผู้ประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมของระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัดอื่น โดยคำนึงถึงความได้สัดส่วนและสมดุลของการส่งเสริมหรืออุดหนุนต่อต้นทุนที่แตกต่างกันของบริการขนส่งสาธารณะแต่ละระบบและแต่ละพื้นที่ ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน รวมถึงความคุ้มค่า ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
.
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่าโดยสรุปแล้ว ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมของตนคืออยากให้สมาชิกทุกคนลงมติเพื่อรับหลักการของทั้งสองร่าง เราไม่ได้เห็นต่างกันว่าควรมี พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ แต่เมื่อรับหลักการแล้วก็ต้องมีการเลือกว่าจะเอาร่างใดเป็นร่างหลัก ซึ่งข้อเสนอของตนก็คือขอให้เอาร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก เพราะถ้าเอาร่างรัฐบาลเป็นร่างหลักจะมีปัญหาและมีความเพี้ยนไปจากร่างเดิมของ สนข. เองด้วยซ้ำ

 

ประเภท : การเมือง
แท็ก