นพ.สดมภ์ เพียรพินิจ แพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก จากโรงพยาบาลไทยนครินทร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “สุขภาพ4ทุ่ม” ทางคลื่น MCOT NEWS FM 100.5 ถึงผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้และการระคายเคืองทางเดินหายใจในช่วงที่ฝุ่นมีความเข้มข้นสูง
นพ.สดมภ์ อธิบายว่า ฝุ่น PM 2.5 คืออนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถเข้าไปในร่างกายได้โดยตรงตั้งแต่ทางเดินหายใจจนถึงผิวหนังและดวงตา เนื่องจากขนาดที่เล็กจึงทำให้ฝุ่นนี้สามารถทะลุเข้าสู่เนื้อเยื่อและหลอดเลือดต่างๆ ได้ง่าย การสูดดมฝุ่น PM 2.5 เข้าไปในปอดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบอย่างรุนแรง ส่งผลให้โรคภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยเคยคุมได้กลับมาทำให้มีอาการกำเริบ
โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการภูมิแพ้อยู่แล้ว การสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 จะทำให้ร่างกายมีการตอบสนองรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก ไอ คัดจมูก หรือมีอาการแสบคอ ตาแดง รวมถึงการอักเสบในทางเดินหายใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่ายขึ้น หากไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสม นอกจากนี้ ฝุ่น PM 2.5 ยังเป็นสารก่อมะเร็งที่มีความสามารถในการสะสมในร่างกายได้ในระยะยาว
สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากฝุ่น PM 2.5 ได้แก่ เด็กเล็กและผู้สูงอายุ เพราะระบบทางเดินหายใจของพวกเขามีความไวต่อมลภาวะมากกว่า ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจ เช่น ปอดบวม และอาจพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งในระยะยาว
นพ.สดมภ์ยังได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัว โดยบอกว่าในช่วงที่ฝุ่นหนาแน่นตนเองก็ประสบกับอาการเจ็บคอจากการสูดดมฝุ่น PM 2.5 โดยไม่ทันระมัดระวัง แม้จะรู้ว่าสภาพอากาศมีมลพิษสูงก็ตาม
ส่วนการป้องกันตัวจากฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น การหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่ฝุ่นหนาแน่น หรือการใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากฝุ่นที่เป็นภัยต่อสุขภาพในระยะยาว
ขณะที่เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบกรอง HEPA (High Efficiency Particulate Air Filter) ถือเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับฝุ่นในบ้าน แต่เครื่องฟอกอากาศนั้นต้องอยู่ในสถานที่ปิด หากเราต้องออกไปข้างนอกในช่วงที่มีมลพิษสูง การสวมใส่หน้ากาก N95 จะช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการปกป้องสุขภาพจากสารก่อมะเร็งที่สามารถพบในฝุ่น PM 2.5 ได้
นพ.สดมภ์ ยังกล่าวถึง ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคหอบหืด ว่าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงที่เกิดปัญหา PM 2.5 เนื่องจากการรับสารก่อมะเร็งหรือสารระคายเคืองจากฝุ่นในอากาศอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ นอกจากนี้การใช้ยาแก้แพ้หรือยาขยายหลอดลมให้สม่ำเสมอเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันอาการอักเสบที่จะเกิดขึ้นจากมลพิษในอากาศ นอกจากการปิดบ้านและใช้เครื่องฟอกอากาศแล้ว การตากผ้าภายในบ้านหรือการใช้เครื่องอบผ้าก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยหลีกเลี่ยงการสะสมของฝุ่น PM 2.5 ในเสื้อผ้า
นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการระคายเคืองทางตา เช่น ตาแสบหรือคันจากฝุ่น PM 2.5 การใช้น้ำตาเทียมหรือล้างด้วยน้ำเกลือจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ และต้นเหตุที่เกิดฝุ่นคือ การเผาไหม้ในโรงงานอุตสาหกรรม การเผาขยะ หรือการขับขี่รถยนต์เป็นแหล่งหลักที่ทำให้เกิด PM 2.5 โดยเฉพาะจากกระบวนการเผาไหม้ที่มีสารพิษปะปนอยู่ ซึ่งอาจทำให้สารพิษเหล่านี้สะสมในร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในระยะยาว