รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม Executive Director ของ ASEAN Foundation ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Good Morning ASEAN” ทางคลื่น MCOT NEWS FM 100.5 ถึงสถานการณ์การเมืองในเมียนมาที่ยังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับการมองปัญหาการเลือกตั้งในประเทศที่อาจไม่เป็นไปตามหลักการที่เปิดกว้างและยุติธรรม พร้อมทั้งได้พูดถึงความเชื่อมโยงของปัญหาดังกล่าวกับปัญหาการค้ากับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง
รศ.ดร.ปิติ กล่าวว่า รัฐบาลทหารของเมียนมา (SAC) ที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ยังคงพยายามเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งดังกล่าวอาจไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานความเป็นธรรมและความเปิดกว้างที่ควรจะเป็น เนื่องจากมันยังไม่สามารถครอบคลุมทุกฝ่ายที่มีความคิดเห็นต่างจากรัฐบาล และไม่ได้สามารถสร้างความสมานฉันท์ในประเทศได้อย่างแท้จริง
ในอีกมุมหนึ่ง รศ.ดร.ปิติ ได้พูดถึงปัญหาของเครือข่ายอาชญากรรมที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศไทย โดยเฉพาะการดำเนินการของกลุ่มอาชญากรรมที่กระจายตัวในพื้นที่ต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทำให้ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในประเทศ แต่เป็นปัญหาระดับภูมิภาคที่ต้องแก้ไขอย่างเป็นระบบ
โดยองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้เติบโตขึ้นคือการขาดการควบคุมในพื้นที่ชายแดนที่ยากต่อการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งการมีอำนาจจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เอื้อให้เกิดความผิดปกติในระบบต่างๆ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินการ ซึ่งทำให้การติดตามและควบคุมเป็นไปได้ยากมาก
รศ.ดร.ปิติ ได้กล่าวถึง 5 องค์ประกอบหลักที่สนับสนุนการแพร่กระจายของเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ คือ การขาดการศึกษาในด้านดิจิทัล (Digital Literacy), ความต้องการของตลาด (Demand and Supply) ทั้งจากผู้ล่าและเหยื่อ, การตั้งสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงในการดำเนินกิจกรรมอาชญากรรม, รวมทั้งการที่พื้นที่ชายแดนมีการขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
รศ.ดร.ปิติ ได้ชี้ให้เห็นว่าในประเทศไทยเองก็มีบทบาทในการสนับสนุนโครงสร้างของอาชญากรรมเหล่านี้ผ่านทางโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และตัวกลาง (Facilitators) โดยที่บางส่วนอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยงานระดับสูงของรัฐบาล และภาคเอกชนที่มีส่วนในการเชื่อมโยงข้ามพรมแดน
รศ.ดร.ปิติ ได้กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบที่เข้มงวดจากหน่วยงานรัฐมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่การดำเนินการในพื้นที่ที่ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเหมาะสม เช่น พื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจพิเศษ มักจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการจัดการกับปัญหานี้ ซึ่งยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งในระดับรัฐบาล ภาคเอกชน และสังคมในการหาทางออกที่ยั่งยืน
รศ.ดร.ปิติ ได้สรุปว่า ปัญหาการขยายตัวของเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคนี้เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการดำเนินการแบบแยกส่วน แต่ต้องการการประสานงานและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงการปรับปรุงระบบกฎหมายและการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ในอนาคต