นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Good Morning ASEAN” ทางคลื่น MCOT NEWS FM100.5 ถึงการตัดไฟฟ้า พลังงาน และอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชายแดนเมียนมา เพื่อสกัดแก๊งคอลเซนเตอร์และกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติว่า มาตรการนี้อาจไม่ได้ผลตามที่หวัง และอาจส่งผลเสียต่อประชาชน และการค้าชายแดนมากกว่า เพราะแม้จะพุ่งเป้าไปที่กลุ่มอาชญากร แต่ในความเป็นจริงผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือประชาชนตามแนวชายแดน ทั้งท่าขี้เหล็ก เมียวดี และพญาตองซู ที่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากฝั่งไทย โดยเฉพาะโรงพยาบาลรวมถึงชาวบ้านต้องการพลังงานน้ำมัน ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
“เมืองท่าขี้เหล็กมีประชากรนับแสนคน และมีผู้ป่วยกว่า 200 รายที่ต้องใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา การตัดไฟอาจทำให้เกิดวิกฤตด้านสาธารณสุข และสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน” นายกริช กล่าว
นอกจากนี้ ด้านการค้า การตัดไฟและการปิดด่านชายแดนส่งผลให้การค้าข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาเริ่มชะลอตัว ขนส่งสินค้าติดขัด และต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น แม้ธุรกิจบางประเภท เช่น กาสิโนหรือกิจกรรมผิดกฎหมาย ยังสามารถดำเนินการได้ด้วยแหล่งพลังงานสำรอง เช่น เครื่องปั่นไฟหรือโซลาร์เซลล์ ส่วนกลุ่มอาชญากรที่มีแหล่งพลังงานสำรองก็ยังสามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติ มาตรการตัดไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ตอาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวังในการจัดการกับปัญหานี้ และอาจสร้างปัญหาใหม่ที่ยิ่งกว่าเดิม
นายกริช กล่าวต่อว่า ขณะที่แก๊งคอลเซนเตอร์และองค์กรอาชญากรรมในพื้นที่ เช่น เมืองชเว โก๊กโก่ และ KK Park Casino แทบไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว เพราะมีแหล่งพลังงานสำรองทำให้ดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติ ขณะเดียวกัน การตัดไฟฟ้ายังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้า 80% ของสินค้าที่ส่งไปย่างกุ้งเคยผ่านด่านเมียวดี แต่เมื่อมาตรการตัดไฟและปิดด่านมีผล การค้าข้ามพรมแดนเริ่มชะลอตัว ขนส่งติดขัด และต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้หากไทยต้องการจัดการกับแก๊งคอลเซนเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ รัฐบาลควรศึกษามาตรการของจีน และอินเดีย ที่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดและได้ผลจริง โดยจีนใช้ระบบควบคุมชายแดนอย่างเข้มงวด ผู้ที่เดินทางเข้า-ออกต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร ทำให้ขบวนการผิดกฎหมายดำเนินกิจกรรมได้ยากขึ้น ขณะที่อินเดีย ใช้วิธีสร้างกำแพงปิดกั้นชายแดนที่ติดกับเมียนมา เพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายของอาชญากรและป้องกันการลักลอบข้ามพรมแดน
นายกริช กล่าวอีกว่า หากต้องการสกัดแก๊งคอลเซนเตอร์จริงๆ ไทยควรใช้มาตรการที่ได้ผลมากกว่าการตัดไฟฟ้า เพราะหากสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป อาจทำให้การค้าชายแดนไทย-เมียนมา ตกจากอันดับ 2 ลงไปอยู่ที่อันดับ 3 หรือ 4 ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในระยะยาว ดังนั้นแทนที่จะตัดไฟฟ้า ควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคนเข้า-ออก รวมถึงเส้นทางการเงินของแก๊งอาชญากรรม ขณะเดียวกันต้องตั้งคำถามว่า การตัดไฟฟ้าเป็นการ “ปิดเกม” จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม