รศ.ดร.ธัญญารัตน์ จิญกาญจน์ หรือ “อาจารย์น้อยหน่า” รองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ CEO บริษัท KU Agro Industry จำกัด เปิดใจในรายการ “ล้มได้ ลุกไว ไปต่อ” ถึงเส้นทางชีวิตจากเด็กชาวเกาะสู่ดอกเตอร์ นักวิชาการและนักบริหารในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
อาจารย์น้อยหน่า เล่าว่าเธอเติบโตมาในครอบครัวครูและนักสมุนไพร คุณปู่และคุณพ่อเป็นครู ขณะที่คุณตาเคยเป็นพระและมีความรู้ด้านตำรายาสมุนไพรโบราณ อาจารย์น้อยหน่าได้รับการปลูกฝังเรื่องการเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก และใช้ชีวิตเรียบง่ายตามวิถีชนบท โดยต้องอาศัยแสงจากตะเกียงน้ำมันและเดินบนถนนลูกรัง
“ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรมากมาย แต่เรากลับมีต้นทุนชีวิตจากธรรมชาติและองค์ความรู้ของคนรุ่นเก่า” อาจารย์น้อยหน่ากล่าว
เส้นทางสู่การศึกษาและบทเรียนจากเหตุการณ์ 9/11
อาจารย์น้อยหน่าเริ่มเส้นทางวิชาการจากปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีการบรรจุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นได้รับทุนไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ ในระดับปริญญาโทด้าน Packaging Technology ที่ Rochester Institute of Technology และปริญญาเอกด้าน Engineering Management จาก Missouri University of Science And Technology
ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่สหรัฐฯ อาจารย์น้อยหน่า เผยประสบการณ์ในวันที่มีการก่อวินาศกรรม 9/11 ขณะอยู่ที่ลาสเวกัสเพื่อร่วมงาน Packaging Expo เธอเห็นข่าวเครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดแบบสดๆ และต้องเผชิญกับความโกลาหลที่ทำให้ต้องเดินทางข้ามรัฐด้วยรถบรรทุกแทนเครื่องบิน เพราะทุกเที่ยวบินถูกยกเลิก เหตุการณ์นั้นตอกย้ำให้เธอเห็นว่า “เราควบคุมโลกไม่ได้ แต่เราควบคุมการปรับตัวของเราได้”
“ตื่นเช้ามาเปิดทีวี ทุกช่องรายงานข่าวการชนตึกแฝด ทุกคนในศูนย์ประชุมตกใจ โทรศัพท์ถูกใช้จนเครือข่ายล่ม บางคนร้องไห้ บางคนยืนสวดมนต์”
บริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยด้วยแนวคิด ‘ธุรกิจต้องอยู่ได้’ ปัจจุบัน อาจารย์น้อยหน่าเป็น CEO ของ KU Agro Industry บริษัทในเครือ K-Universe ซึ่งเป็น Holding Company ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์น้อยหน่าเน้นย้ำว่า แม้บริษัทจะมีพันธกิจเพื่อสังคม แต่ก็ต้องบริหารให้มีกำไร เราไม่ใช่องค์กรการกุศล 100% ธุรกิจต้องอยู่ได้ เพื่อจะช่วยเหลือภาคการเกษตรและสังคมได้จริง
“เราอยากให้สินค้าเกษตรไทยมีมาตรฐานระดับโลก บรรจุภัณฑ์ไม่ได้เป็นแค่ห่อหุ้ม แต่เป็นสิ่งที่สร้างมูลค่า เพิ่มอายุสินค้า และช่วยให้แข่งขันในตลาดได้” และย้ำว่าเป้าหมายของบริษัทคือสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งชีวิต อาจารย์น้อยหน่าสรุปแนวคิดหลักที่ยึดถือมาตลอดว่า “สมรรถภาพในการปรับตัว คือความสำเร็จของชีวิต”
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี อาจารย์น้อยหน่าและกลุ่มเพื่อนจากโรงเรียนสตรีวิทยาเลือกเรียนคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในชั้นปีที่ 1 นักศึกษาทุกคนต้องเรียนรวมกันก่อน แล้วจึงคัดเลือกแยกภาควิชาในปีที่ 2 ซึ่งภาคที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Food Science หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร
“เราตั้งใจมาแล้วว่าจะเลือก Food Science แต่สุดท้ายไม่ได้ ไปอยู่ภาคเทคโนโลยีการบรรจุ แถมเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ได้ภาคนี้ ตอนนั้นเสียเซลฟ์มาก คิดว่าเราต้องเรียนทำกล่องกระดาษจริงๆ เหรอ”
แม้จะผิดหวังในตอนแรก แต่ อาจารย์น้อยหน่าเลือกที่จะเดินหน้าต่อ และเริ่มเข้าใจว่าเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ “ทำกล่อง” อย่างที่เคยเข้าใจ แต่ครอบคลุมตั้งแต่วัสดุที่ใช้บรรจุ ไปจนถึงกระบวนการออกแบบและพัฒนาให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมต่างๆ “บรรจุภัณฑ์เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะช่วยเพิ่มอายุสินค้า รักษาคุณภาพ และทำให้แบรนด์แข่งขันในตลาดได้”
โอกาสที่มากับสายงานใหม่ เมื่อเรียนจบ อาจารย์น้อยหน่าพบว่าโอกาสในตลาดแรงงานของสายงานนี้มีมากกว่าที่คิด อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เป็นที่ต้องการของบริษัทขนาดใหญ่ ทั้งไทยและต่างประเทศ
“ตอนเรียนจบ เงินเดือนเริ่มต้นของเรากับเพื่อนๆ สูงมาก เมื่อปี 2535-2536 เราเริ่มที่เกือบ 15,000 บาท บางคนที่เข้าบริษัทต่างชาติ ได้สูงถึง 30,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงมากในยุคนั้น”
อาจารย์น้อยหน่าเริ่มต้นทำงานที่ SCG (Siam Cement Group) ในตำแหน่ง Technical Service Engineer ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เพราะเป็นงานที่เปิดโอกาสให้เธอได้ใช้ความรู้ด้านเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์จริงๆ จิ๊กซอที่ต่อกันได้พอดี บางทีเราไม่รู้ว่าทำไมชีวิตพาเรามาทางนี้ แต่ทุกสิ่งมีเหตุผลของมัน ถ้าเรามองบวกและพยายามเต็มที่ เราจะหาทางไปต่อได้เสมอ
“เราไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กเกรด 4.00 ถึงจะประสบความสำเร็จ ขอแค่เราทำให้เต็มที่และใช้ชีวิตให้คุ้มค่า โอกาสจะมาเอง”
เรื่องราวของ รศ.ดร.ธัญญารัตน์ จิญกาญจน์ เป็นตัวอย่างของการพลิกวิกฤติเป็นโอกาส และการมองบวกเพื่อนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จ