คุณแอม จักรพงศ์ แสนสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พุทธชาดเอ็กซ์เพรส(ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมพูดคุยในรายการ “ล้มได้ ลุกไว ไปต่อ” ออกอากาศทุกวันอาทิตย์เวลา 17:00 – 18:00 น. โดยมี โอวาท พรหมรัตนพร ดำเนินรายการ คุณแอมได้เล่าถึงการบริหารธุรกิจชิปปิ้งของบริษัท พุทธชาด Express Thailand ที่มุ่งสู่มาตรฐานระดับสากล โดยเฉพาะการได้รับการรับรองจากกรมศุลกากรให้เป็นบริษัทที่มีมาตรฐาน AEO (Authorized Economic Operator) ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองระดับโลกที่บ่งชี้ถึงความเชื่อถือได้และความสามารถในการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใสในธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า
บริษัท พุทธชาด Express Thailand ก่อตั้งขึ้นโดยคุณพ่อของแอม และดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการด้านพิธีการศุลกากรในการส่งออกและนำเข้าสินค้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อการทำการค้าในระดับโลก จุดเด่นของบริษัทคือการได้รับมาตรฐาน AEO ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพจากกรมศุลกากรที่สามารถดำเนินการต่างๆ ได้เร็วขึ้น และเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในเรื่องของการลดขั้นตอนการตรวจสอบสินค้า ทำให้กระบวนการทางศุลกากรรวดเร็ว ลดต้นทุนและเวลาในการทำธุรกิจ
คุณแอมยังได้อธิบายถึงความสำคัญของการได้รับมาตรฐาน AEO ว่าเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในอาเซียนและหลายประเทศทั่วโลก โดยมีการลดขั้นตอนในการตรวจสอบสินค้าทำให้การส่งออก-นำเข้าสินค้าสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งการได้รับมาตรฐานนี้มีผลดีทั้งในด้านการลดต้นทุนและการประหยัดเวลาในการดำเนินการต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการทำธุรกิจในระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส
เบื้องหลังความสำเร็จของ พุทธชาด Express Thailand คุณพ่อเริ่มต้นจาก Messenger ในโรงงาน ก่อนจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้จัดการโรงงานที่ดูแลงานด้านโลจิสติกส์ นำเข้า-ส่งออก จนกระทั่งตัดสินใจเปิดธุรกิจของตัวเองในปี 2537 “คุณพ่อของผมเป็นคนที่ขยันและเรียนรู้ตลอดเวลา เริ่มจาก Messenger แล้วค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาดูแลงานจัดซื้อ บัญชี และโลจิสติกส์”
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ คุณพ่อเลือกออกจากโรงงานเพื่อเปิดบริษัทชิปปิ้งของตนเอง ด้วยความตั้งใจที่จะดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส และลดการพึ่งพาระบบที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งการตัดสินใจนี้ทำให้พุทธชาด Express Thailand ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเดิมจนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่า 31 ปี “คุณพ่อเลือกทางนี้เพราะต้องการทำธุรกิจแบบมืออาชีพ ไม่ขึ้นอยู่กับใคร และรักษาความซื่อสัตย์เป็นหลัก”
ส่วนคุณแม่คือกำลังสำคัญอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าประทับใจคือ คุณแม่ของแอม ซึ่งเรียนจบด้านการบัญชีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมี คุณพ่อเป็นคนส่งเสียค่าเล่าเรียนทั้งหมด “คุณพ่อทำงานหาเงินเพื่อส่งแม่เรียนจนจบ ส่วนแม่ก็ได้โอกาสเข้าไปทำงานบริษัทใหญ่ ได้เรียนรู้ระบบบัญชีระดับองค์กร ทำให้เมื่อถึงเวลาที่พ่อเปิดธุรกิจของตัวเอง แม่ก็สามารถเข้ามาช่วยดูแลด้านการเงินได้อย่างเต็มตัว”
คุณแอมกล่าวถึงความท้าทายในการสืบทอดธุรกิจครอบครัว โดยเขาเป็นทายาทรุ่นที่สองของธุรกิจนี้ การที่เข้ามารับตำแหน่งบริหารบริษัทของครอบครัวจึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายอย่างมาก เพราะต้องพัฒนาธุรกิจให้ทันกับยุคดิจิทัล และมาตรฐานใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลจิสติกส์ การปรับตัวกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ “การเป็นรุ่นที่ 2 ไม่ได้แปลว่าจะทำเหมือนเดิมแล้วอยู่รอดได้” แอมกล่าว “ต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น ระบบติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์ และการใช้ AI ในการจัดการข้อมูลศุลกากร”
ในช่วงของการพูดคุย คุณแอมยังได้พูดถึงชีวิตครอบครัว โดยเฉพาะการดูแลลูกสาววัย 8 เดือน ที่กำลังอยู่ในช่วงวัยที่ต้องการความใกล้ชิดจากพ่อแม่ คุณแอมได้กล่าวติดตลกว่า “ลูกสาวซนมาก แต่ก็น่ารักมากเช่นกัน โชคดีที่ภรรยาผมสวย ลูกก็เลยรับความสวยจากแม่มาเต็มๆ” และได้ย้ำถึงความสำคัญของการหาสมดุลระหว่างงานและครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญสูงมาก เพราะในวัยเด็ก เคยรู้สึกต่อต้านเส้นทางของคุณพ่อ เพราะเห็นว่าการทำธุรกิจทำให้เวลาครอบครัวลดลง
คุณแอมยังได้พูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในการเป็นทายาทธุรกิจและการเรียนรู้จากการเติบโตในครอบครัวที่ทำธุรกิจ เขากล่าวว่าในวัยเด็กเขาเคยคิดว่าการทำธุรกิจของพ่อทำให้เสียเวลาไปกับครอบครัว แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นและเริ่มเข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัว เขากลับเห็นคุณค่าของการทำงานและการพัฒนาองค์กรในระยะยาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการเรียนรู้และการเติบโตของเขาเอง
คุณแอมยังได้กล่าวถึงการเดินทางในเส้นทางธุรกิจที่ผ่านมาของเขา ที่ไม่เพียงแค่บริหารธุรกิจชิปปิ้ง แต่ยังต้องดูแลบริษัทของตนเองอย่าง Paramount ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับงานออกแบบสถาปัตยกรรมและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งแอมก็ต้องหาความสมดุลในการดำเนินธุรกิจทั้งสองแห่งในขณะเดียวกัน การบริหารหลายๆ ด้านในเวลาเดียวกันเป็นความท้าทายที่ต้องใช้ความสามารถในการจัดการและการวางแผนอย่างรอบคอบ
ตอนนี้ผมอายุ 40 กว่าแล้ว กำลังจะเข้า 42 ปี คุณพ่อทำธุรกิจมาตลอด 30 ปีจนมีลูกค้าประจำ คุณแม่ก็เข้ามาช่วยดูแลด้วย ผมรู้สึกว่าโชคดีที่พ่อกับแม่เก่งทั้งคู่ แต่ตอนนั้น ผมคิดว่าถ้าเดินตามรอยพ่อคงไม่มีเวลาให้ครอบครัวแน่ ๆ ผมเลยเลือกเส้นทางของตัวเอง ตอนช่วงสอบเอนทรานซ์ ผมเรียนสายวิทย์-คณิต และถนัดคณิตศาสตร์มากที่สุด ผมคิดว่าจะเรียนอะไรดีที่ไม่เสียของ ก็เลยเลือกคณะสถาปัตย์เป็นอันดับต้น ๆ
ผมเลือกสมัครเข้าจุฬาฯ เกษตรฯ และลาดกระบัง แต่สุดท้ายคะแนนเอนทรานซ์ของผมพาไปที่สถาปัตย์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผมรู้สึกดีใจมากที่ติด เพราะคิดว่าการเรียนสถาปัตย์มันเท่ดี ต่างจากสายบริหารที่ใคร ๆ ก็เรียนกัน ปีแรกของการเรียนสนุกดี เป็นการปรับพื้นฐาน แต่พอผ่านไปสักปีนึง ผมเริ่มเห็นเกรดของตัวเอง มีแต่ B กับ C ไม่มี A เลย เกรดเฉลี่ยแค่ 2 กว่า ๆ ผมเริ่มรู้แล้วว่ามันไม่ง่าย เพราะเราไม่ได้มีทักษะติดตัวเหมือนเพื่อนบางคนที่วาดภาพเก่งมาก
คุณแอมพยายามฝึกเพิ่ม ขอสอนวาดเส้น ลงสีน้ำ ฝึกมือให้คล่องมากขึ้น ผ่านไปหลายเดือนฝีมือก็ดีขึ้น พอขึ้นปี 3 ก็มีคลาสที่ต้องออกทริปวาดภาพไว ๆ ผมฝึกไปเรื่อย ๆ จนเห็นพัฒนาการตัวเอง สุดท้ายก็เรียนจนจบ 5 ปี ได้ปริญญาจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
แต่พอจบมา ผมกลับพบความจริงว่า โลกของสถาปนิกเน้นความงาม แต่ในประเทศไทยอาชีพนี้ยังไม่ได้รับการให้ค่าตอบแทนที่ดี งานออกแบบ เขียนแบบ ยังได้เงินน้อย ผมเลยคิดว่าลองสมัครงานดูก่อน โชคดีที่ผมได้เข้าทำงานที่ SCG ซึ่งตอนนั้นเปิดแผนก Cotto Studio ทำเกี่ยวกับกระเบื้อง ผมได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เงินเดือนก็ดี 18,500 บาท ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานสถาปนิกทั่วไปที่ได้แค่ 12,000-15,000 บาท แต่พอทำไปได้ปีนึง รู้สึกอึดอัด เพราะต้องใส่สูท นั่งในออฟฟิศ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นทางการมาก ไม่ชอบเลย เลยตัดสินใจลาออก
หลังออกจากงาน พ่อกับน้องสาวก็ชวนให้มาทำธุรกิจอู่ติดแก๊สรถยนต์ ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่น้ำมันแพงมาก คนแห่กันมาติดแก๊ส ตัวเองก็ชอบแต่งรถอยู่แล้ว เลยตัดสินใจลุยธุรกิจนี้เต็มตัว ปีแรกของอู่ดีมาก มีลูกค้าเยอะจนทำไม่ทัน แต่พอปี 51-52 ราคาน้ำมันเริ่มลดลง คนก็หยุดติดแก๊ส รายได้เริ่มลดลง ต้องปรับตัวอีกครั้ง…
จากอู่ซ่อมรถสู่สตูดิโอออกแบบ : เส้นทางเปลี่ยนผ่านธุรกิจในยุคเปลี่ยนแปลง ธุรกิจเป็นสิ่งที่ต้องปรับตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์และความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องราวของผู้ประกอบการรายนี้เริ่มต้นจากอู่ซ่อมรถ ติดตั้งแก๊ส LPG และ NGV แต่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
จุดเปลี่ยนแรก : วิกฤตน้ำท่วมปี 2554 ในปีที่ประเทศไทยเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อรถยนต์จำนวนมาก ธุรกิจอู่ซ่อมรถต้องเรียนรู้การซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในช่วงนี้ เจ้าของอู่ได้ขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญไปสู่การซ่อมรถเบนซ์โดยเฉพาะ พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ปัญหารถยนต์ขั้นสูงอย่างโปรแกรม Star Diagnosis
ผลกระทบจากนโยบายรถคันแรก หลังจากรัฐบาลเปิดตัวโครงการรถคันแรก ความต้องการติดตั้งแก๊สลดลงอย่างมาก เพราะรถยนต์รุ่นใหม่ในโครงการนี้มีความประหยัดเชื้อเพลิงใกล้เคียงกับรถที่ติดแก๊ส ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ตึงตัว ทำให้ลูกค้าเดิมหลายรายไม่มีกำลังซ่อมรถเหมือนเดิม ส่งผลให้ธุรกิจอู่ซ่อมรถต้องชะลอตัว
การเปลี่ยนสายธุรกิจ : จากอู่สู่สตูดิโอออกแบบ เมื่อธุรกิจอู่ซ่อมรถไม่สามารถเติบโตได้เหมือนเดิม เจ้าของธุรกิจจึงหันกลับไปใช้ความรู้ความสามารถด้านการออกแบบ ซึ่งเป็นความถนัดเดิมของตนเอง และจับมือกับเพื่อนที่จบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมจากบอสตัน เปิดสตูดิโอออกแบบในพื้นที่ของอู่เดิม แม้ว่าช่วงแรกจะมีอุปสรรค เช่น ลูกค้าและซัพพลายเออร์หาออฟฟิศไม่เจอ เพราะตั้งอยู่ในอู่ซ่อมรถ แต่ธุรกิจก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การออกแบบและก่อสร้างออฟฟิศ รวมถึงโครงการขนาดเล็กที่สามารถจัดการได้ง่ายและมีการวางแผนงบประมาณชัดเจน
บทเรียนจากการปรับตัว การทำธุรกิจโดยเน้นแค่งานออกแบบเพียงอย่างเดียวพบอุปสรรคเมื่อต้องเจอลูกค้าหลายฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น ในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสมาชิกในครอบครัวหลายคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ส่งผลให้การออกแบบต้องแก้ไขหลายรอบและเก็บเงินได้ล่าช้า เจ้าของธุรกิจจึงตัดสินใจปรับรูปแบบเป็น “Turnkey Service” หรือบริการออกแบบพร้อมก่อสร้าง เพื่อควบคุมคุณภาพงานและสามารถส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ง่ายขึ้น
คุณแอมย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัวในธุรกิจว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องเดินให้สุด ไม่เคยหยุดกลางทาง” ซึ่งเป็นคำคมที่ช่วยผลักดันเขาให้พาธุรกิจครอบครัวก้าวไปข้างหน้า และยังคงรักษาความสำเร็จให้กับธุรกิจในระยะยาว