รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ให้สัมภาษณ์ในรายการ “แชร์เล่าข่าวเด็ด” ทาง MCOT NEWS FM100.5 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยที่กำลังร้อนแรง โดยระบุว่าทั้งสองพรรคยังต้องพึ่งพาอาศัยกันทางการเมือง แม้จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ตาม
เขาอธิบายว่า ความขัดแย้งดังกล่าวมีรากฐานจากผลกระทบของการเลือกตั้งวุฒิสภา (สว.) ที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ขณะที่พรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรอิสระ รวมถึงการเปลี่ยนประธานวุฒิสภา และกรรมการบริหารสำคัญ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้สะดวกยิ่งขึ้น
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเดินเกมในช่วงนี้ คือปี 2568 เป็นปีที่มีการสรรหาองค์กรอิสระหลายแห่ง หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจได้ในรอบนี้ โอกาสจะหมดลงไปอีก 7 ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการควบคุมกลไกสำคัญทางการเมือง
ในด้านของพรรคภูมิใจไทย รศ.ดร.ธนพร มองว่า ปัจจัยที่ทำให้พรรคนี้เสียศูนย์คือการตัดสินใจที่ล่าช้าในประเด็นแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่นในความสามารถของแกนนำพรรค โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค
สำหรับกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมนำเรื่องเข้าที่ประชุมในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เพื่อมีมติในคดีเกี่ยวกับการตรวจสอบเลือก สว. เป็นคดีพิเศษนั้น รศ.ดร.ธนพร วิเคราะห์ว่ากลุ่ม สว. สามารถแบ่งได้เป็นสามระดับ โดยกลุ่มแรกเป็นแกนนำหลักของฝั่งพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีหลักฐานเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญ กลุ่มที่สองคือผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายพรรค และกลุ่มที่สามคือบุคคลที่เข้ามาเป็น สว. จากหลายภาคส่วน ซึ่งอาจมีแนวโน้มเปลี่ยนขั้วทางการเมืองหากสถานการณ์บีบบังคับ
ในมุมมองของเขา การเคลื่อนไหวของกลุ่ม สว. วงนอกจะเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ หากพรรคเพื่อไทยสามารถดึง สว. กลุ่มนี้ให้สนับสนุน ก็จะสามารถควบคุมกระบวนการสรรหาองค์กรอิสระได้ และหากสามารถเปลี่ยนขั้วอำนาจในวุฒิสภาได้สำเร็จ พรรคเพื่อไทยจะสามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ธนพร เชื่อว่าความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยจะยังไม่ถึงขั้นแตกหัก เนื่องจากทั้งสองพรรคต่างมีจุดแข็งที่อีกฝ่ายต้องพึ่งพา พร้อมชี้ว่าเป็นเพียงการต่อรองอำนาจตามกลไกทางการเมือง