เนสท์เล่ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายย่อยภายหลังจากที่ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย

คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งศาลได้ออกคำสั่งห้ามเนสท์เล่ทำการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทย โดยเนสท์เล่ยังไม่ได้มีโอกาสนำเสนอข้อเท็จจริงในชั้นศาล

เนสท์เล่ได้ชี้แจงว่า บริษัทได้ยุติสัญญากับ QCP ในการผลิตเนสกาแฟตั้งแต่ปี 2564 โดยมีผลทางกฎหมายตามคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567 หลังจากนั้น กระบวนการยุติสัญญาและการดำเนินการในอนาคตของ QCP ไม่สามารถตกลงกันได้จนต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเลิกบริษัท QCP เมื่อเดือนมีนาคม 2568

เนสท์เล่ยืนยันว่าจะยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลและทำการจัดเตรียมข้อมูลต่างๆ เพื่อเสนอให้ศาลพิจารณาใหม่ โดยเนสท์เล่ยังคงมุ่งมั่นในการลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไป และเน้นย้ำถึงความกังวลในผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการร้านค้าปลีก ผู้ค้ารายย่อย และเกษตรกรไทยที่ส่งผลผลิตกาแฟให้กับบริษัท

การห้ามผลิตและจำหน่ายเนสกาแฟนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งรวมถึงร้านกาแฟขนาดเล็กและธุรกิจรถเข็นกาแฟที่จะต้องหาทางเลือกในการเปลี่ยนแปลงสูตรการชงและวัสดุที่ใช้ รวมถึงเกษตรกรไทยที่ไม่สามารถจำหน่ายเมล็ดกาแฟให้กับบริษัทได้

เนสท์เล่ยืนยันว่าจะทำทุกทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้และหวังว่าจะสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้โดยเร็ว