เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 บริษัทจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากระดับ “มีเสถียรภาพ” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative) แม้ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินบาทที่ระดับ Baa1 และตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศที่ระดับ P-2
มูดี้ส์ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มครั้งนี้สะท้อนความเสี่ยงที่เศรษฐกิจและการคลังของไทยอาจอ่อนแอลง โดยเฉพาะจากมาตรการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าหลักอย่างไทย ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในระดับสูง ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนจากการเก็บภาษีเพิ่มเติมหลังหมดช่วงผ่อนผัน 90 วัน ยังเพิ่มแรงกดดันต่อการฟื้นตัวที่เปราะบางอยู่แล้วของเศรษฐกิจไทย
มูดี้ส์ยังปรับลดประมาณการ GDP ของไทยในปี 2568 เหลือเพียง 2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.9% สะท้อนถึงความเปราะบางของภาวะเศรษฐกิจ และภาระหนี้รัฐบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
แม้มูดี้ส์ยังคงอันดับเครดิตไทยไว้ในระดับ Baa1 เนื่องจากพิจารณาว่าสถาบันภาครัฐ ระบบธรรมาภิบาล และทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยยังแข็งแกร่ง แต่แนวโน้ม “เชิงลบ” บ่งชี้ว่าไทยมีโอกาสน้อยที่จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับในระยะสั้น และหากสถานการณ์เศรษฐกิจหรือหนี้สาธารณะเลวร้ายลง อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับได้
หลังรายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป น.ส. ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า รายงานนี้ถือเป็น “นาฬิกาปลุก” ที่จะทำให้รัฐบาลต้องหันมาเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยแนะว่า ไม่ควรเร่งแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในภาวะที่การคลังยังเปราะบาง ควรเก็บทรัพยากรไว้ใช้ยามจำเป็น เพื่อลดภาระหนี้ในอนาคต