น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลว่าไม่เป็นรูปธรรม ว่าเป็นเรื่องปกติในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย แต่ความเป็นจริงภาพที่ประชาชนเห็นตรงกัน คือนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บริหารประเทศเข้าสู่เดือนที่ 6 ถือเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่มีผลงานที่ทยอยผลิดอกออกผลเป็นรูปธรรมไม่น้อย เช่น นโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่รัฐบาลเดินหน้าทำทันที ภายใน 3 เดือนแรก หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ช่วยอำนวยความสะดวก ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ลดการกระจุกตัวของผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งคิกออฟใน 4 จังหวัดนำร่องไปแล้ว และต่อยอดความสำเร็จเฟสสองในเดือนมี.ค.นี้ในอีก 8 จังหวัด รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปี ทั้งอ้อย ราคาปรับขึ้นมาเป็นตันละ 1,700-1,850 บาท จากเดิมตันละ 850-950 บาท ยางพารากิโลกรัมละ 75 บาท จากเดิม 3 กิโลกรัม 100 บาท รวมถึงมันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าว ราคาก็พุ่งสูงมาก
ขณะที่การเดินทางไปราชการต่างประเทศของนายกฯ ตั้งแต่รับตำแหน่งรวม 16 ประเทศ ได้พบหารือผู้นำนานาประเทศและภาคเอกชนจำนวนมาก มีเป้าหมายว่าประเทศไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนเต็มที่ จนในที่สุดงานที่นายกฯ มุ่งมั่นตั้งใจทำตั้งแต่วันแรกก็ทยอยสร้างผลลัพธ์ เฉพาะช่วงต้นปีนี้ มีตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ 4 โครงการในประเทศไทย มูลค่ารวม 29,702 ล้านบาท รวมทั้งล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เทสล่า เข้ามาสำรวจพื้นที่ตั้งโรงงานในไทยแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจาก นายกฯ ได้หารือกับผู้บริหารเทสล่า ในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 30 ที่สหรัฐฯ เมื่อเดือน พ.ย.66
“นายกฯ บริหารประเทศเพียง 6 เดือน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่น และเชิญชวนบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติมาลงทุนได้ นำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ โดยที่ยังไม่ต้องใช้งบก้อนใหญ่จากงบประมาณปี 67 ด้วยซ้ำ” น.ส.ชญาภา กล่าว