กมธ.ที่ดินฯ แนะรัฐตรวจสอบการปนเปื้อนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกากแคดเมียม ยกเครื่องระบบบริหารจัดการของเสียและการจัดการภัยสาธารณะ
นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการประชุม กมธ.ที่ดินฯ เมื่อวานนี้ (1 พ.ค.) กรณีการจัดการของภาครัฐต่อกระบวนการขนย้ายกลับกากแคดเมียมและเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานวินโพรเสส จ.ระยอง โดยมีตัวแทนหน่วยงานต่างๆ เข้าชี้แจงได้แก่ กรณีกากแคดเมียม ประกอบด้วย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนกรณีโรงงานวินโพรเสส ประกอบด้วย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง นายก อบต.บางบุตร นายก อบต.หนองบัว และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบ้านค่าย
นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า กรณีกากแคดเมียม มีข้อกังวลของประชาชนว่าการขนส่งกากแคดเมียมกลับไปยัง จ.ตาก ไม่ได้มีการประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การยกขนขึ้นจนกระทั่งถึงปลายทาง การยกลงต้องทำอย่างไร การจัดเก็บต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ทำให้เมื่อกากแคดเมียมไปถึง จ.ตาก ก็เกิดปัญหาอีกหลายประเด็น ซึ่งกมธ.ที่ดินฯ มีความเห็นว่าในการดำเนินการ ภาครัฐควรประเมินความเสี่ยงทุกขั้นตอนเสียก่อนและนำผลการประเมินความเสี่ยงนั้นมาชี้แจงต่อประชาชน
อีกข้อกังวลคือเรื่องบ่อจัดเก็บ จากการตรวจสอบพบรอยรั่วที่บ่อที่ 5 ส่วนบ่อที่ 4 พบว่ามีการเปิดบ่อและนำกากออกไปประมาณ 20-30% ดังนั้นการจะยืนยันว่าทั้งสองบ่อมีการรั่วซึมหรือไม่ ต้องมีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญและรับรองโดยวิศวกรโยธาระดับสามัญขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจาย จึงขอเรียกร้องให้ทำการปิดบ่อที่ 4 โดยเร็วหลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีการรั่วซึม ส่วนบ่อที่ 5 หากมีการรั่วจริง การตรวจสอบอาจใช้เวลานาน ดังนั้นการจัดเก็บในโรงพักคอยต้องดำเนินการภายใต้อาคารที่มีการป้องกันการแพร่กระจายของกากแคดเมียม เช่น เทพื้นด้วยซีเมนต์
นายพูนศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเพลิงไหม้ที่วินโพรเสส เราพบว่าการบริหารจัดการเพื่อระงับเหตุเพลิงไหม้เกิดความล่าช้า การเยียวยาผู้ประสบภัยใช้เวลานาน รวมถึงปัจจุบันพบว่าของเสียไม่ว่าจะถูกเพลิงไหม้หรือไม่ มีจำนวนมากที่กองอยู่ในพื้นที่ ต้องรีบดำเนินการแก้ไขทันที
ทั้งสองกรณีนี้สะท้อนว่าประเด็นสิ่งแวดล้อมกับสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ รัฐควรทำการตรวจสอบเพื่อยืนยันการปนเปื้อนในพื้นที่ทั้งหมดและเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบเพื่อเตรียมการระมัดระวัง
ในส่วนคดีความ ต้องครอบคลุมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง หาผู้ที่ต้องรับผิดชอบให้ได้ เอาคนผิดมาลงโทษ และภาครัฐควรให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอนเพื่อคลายความกังวล ที่สำคัญคือควรรื้อระบบในการบริหารจัดการของเสียและการจัดการภัยสาธารณะ เพื่อให้การจัดการภัยสาธารณะทำได้ดีกว่านี้