นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ว่า ถ้าจะนำกัญชา เป็นยาเสพติด ต้องรีบทำ ต้องตีเหล็กตอนร้อน
การปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท5 ของกระทรวงสาธารณสุข เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตอนนั้นกระแสสายเขียวกำลังแรง หลังจากพรรคภูมิใจไทยชูนโยบายปลดล็อกกัญชา ปลูกได้ครัวเรือนละ6ต้น จนมาเป็นนโยบายของรัฐบาล มาถึงตอนปลายวาระของรัฐบาล เริ่มมีกระแสต่อต้านกัญชาแรงขึ้น พรรคร่วมรัฐบาลเล่นเกมทำให้สภาล่ม เพื่อไม่ต้องการให้ พ.ร.บ.กัญชา ผ่านมติของสภาผู้แทนราษฎรไปได้
ผมเห็นด้วยกับความเห็นของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เพราะในช่วงนั้นผมเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหากัญชา กัญชงและพืชกระท่อม ที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น เป็นประธาน ก็พยายามทำงานเร่งรัดให้การปลดล็อกพืชกัญชา กัญชง และกระท่อมให้สำเร็จโดยเร็ว เพราะกระแสสังคมในตอนนั้น อยากให้ปลดล็อกให้สำเร็จ ทั้งที่ยังไม่ได้ศึกษาผลดีผลเสียและผลกระทบรอบด้าน ทั้งที่ยังขัดต่ออนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 (Single Convention on Narcotic Drugs, 1961) ที่ระบุว่ากัญชาเป็นยาเสพติดอยู่
ส่วนตัวเห็นด้วยกับการนำกัญชาขึ้นบัญชียาเสพติด และให้ออกกฎหมายควบคุมกัญชาให้ชัดเจน กำหนดให้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้ทางสันทนาการ ปลูกหรือเสพได้อย่างเสรี ที่ผ่านมาสังคมยังไม่เห็นผลกระทบของการปลดล็อกกัญชา แต่เมื่อได้ปลดล็อกกัญชาได้ไประยะหนึ่ง ไม่มีกฎหมายควบคุมที่ชัดเจน จึงเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ประชาชน เยาวชน เข้าถึงกัญชาได้ง่าย มีการเสพกัญชากันอย่างแพร่หลาย เกิดปัญหาทางสังคมตามมามากมาย
เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศต้องการนำกัญชาเข้าไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง เชื่อว่าสังคมส่วนใหญ่สนับสนุน แต่จะทำสำเร็จหรือไม่ ก็อยู่ที่เหตุผลทางการเมือง ซึ่งตอนนี้รัฐบาลยังมีเสถียรภาพเข้มแข็ง ควรจะรีบทำให้เสร็จ ถ้าหากปล่อยไปถึงวันที่รัฐบาลมีสถานภาพอ่อนแอ ก็อาจจะเป็นเงื่อนไขทำให้พรรคภูมิใจไทยเจ้าของนโยบายปลดล็อกกัญชา ต่อรองและกดดันจนรัฐบาล ไม่สามารถนำกัญชาขึ้นบัญชียาเสพติดได้อีก
เพราะฉะนั้นถ้าหากจะนำกัญชาเข้าสู่บัญชียาเสพติด ก็รีบทำในตอนนี้ ต้องตีเหล็กตอนร้อน มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดได้อย่างแน่นอน