กทม.ลุย! ยกเครื่องไฟจราจรอัจฉริยะ 72 แยก ขจัดรถติด เอื้อคนกรุงเดินทางลื่นไหล

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารสำนักการจราจรและขนส่ง ลงพื้นที่บริเวณถนนสุขุมวิท 101/1 ส่องระบบสัญญานไฟจราจรอัตโนมัติ Adaptive Control หรือการปรับสัญญาณไฟตามปริมาณการจราจร   ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันสัญญาณไฟจราจรในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 500 แยก ซึ่งเป็นระบบอัตโนมือ คือ ให้ตำรวจเป็นคนกดสัญญาณไฟตามสภาพการจราจรที่เห็น หรือตั้งเวลาไว้ หากเราเห็นสัญญาณไฟที่เมื่อแดงปุ๊บแล้วมีการนับถอยหลังเลยจะเป็นแบบตั้งเวลาไว้ ไม่ได้ปรับตามสภาพการจราจร ซึ่งแบบนี้บางครั้งรถโล่งแต่ยังเป็นไฟเขียวอยู่ แต่ฝั่งที่เป็นไฟแดงรถติดยาว หรือหากเป็นตำรวจกดเองก็อาจไม่เห็นสภาพการจราจรทั้งหมด   ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวต่อว่า ตอนนี้จึงมีการติดตั้งระบบ Adaptive Control โดยเป็นการใช้กล้องวัดปริมาณจราจร และใช้คอมพิวเตอร์คำนวณว่าจะปล่อยรถอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งขณะนี้ติดตั้งไปแล้ว 72 แยก ตามแนวถนนสุขุมวิท แนวถนนเพชรบุรี แนวถนนพระรามสี่ แนวถนนพหลโยธิน และบริเวณย่านสีลม โดยมีแผนจะติดตั้งเพิ่มอีก 200 แยก ในปีหน้า   ทั้งนี้ จากการนำร่องทดลองใช้ระบบ Adaptive […]

“ธีระชัย” จี้รัฐเลิกแจกหมื่น เอื้อทุนใหญ่ ลืมรายย่อย

  นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีบรรยายวิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาวในเวทีสัมมนาเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 โดยนายธีระชัยวิจารณ์ว่าแนวทางของนายกรัฐมนตรีไม่เป็นการช่วยธุรกิจรายย่อยอย่างยั่งยืน พร้อมแนะนำให้เอานโยบาย ‘เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง‘ ของพรรคพลังประชารัฐไปใช้   กรณีนายกฯกล่าวว่ารัฐบาลเน้นกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยหวังจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ธุรกิจรายย่อยอันจะเป็นการช่วยต่อลมหายใจนั้น นายธีระชัยตั้งข้อสังเกตว่า ผลประโยชน์ที่เกิดการแจกเงินหมื่นเพื่ออุดหนุนการอุปโภคบริโภคที่ผ่านมาไปกระจุกตัวอยู่ที่ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่เป็นสำคัญ ขณะที่กระจายลงไปถึงรายย่อยน้อยมาก และผลดีที่เกิดต่อจีดีพีก็ได้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ผลโดยตรงกับเจตนาของรัฐบาล   นายธีระชัย แสดงความเห็นว่า รัฐบาลควรเปลี่ยนปรัชญานโยบายเศรษฐกิจจากการเลียนแบบบริษัทจำกัดที่เน้นดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นคือกลุ่มผู้สนับสนุนทุนแก่พรรคการเมืองเป็นอันดับหนึ่ง ไปเป็นนโยบาย‘เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง’ของพปชร. โดยเข้าไปรื้อโครงสร้างธุรกิจผูกขาดเพื่อคืนกำไรให้ผู้บริโภคมากขึ้น เปิดพื้นที่ยืนให้แก่ธุรกิจรายย่อยสามารถแข่งขันได้มากขึ้น และกระตุ้นการแข่งขันในระบบแบงค์เพื่อให้รายย่อยเข้าถึงทุนในระบบได้ง่ายขึ้น   “รัฐบาลต้องไม่ไปทำลายธุรกิจยักษ์ใหญ่ เพียงแต่ควรปรับจุดสมดุลให้ธุรกิจยังอยู่ได้ ในขณะที่รายย่อยมีโอกาสช่วยตัวเองมากขึ้นโดยไม่ต้องรอคอยนโยบายการกุศลนิยมจากรัฐบาล” นายธีระชัยกล่าว   นอกจากนี้ กรณีที่นายกฯบรรยายแผนงานที่รัฐบาลจะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งที่เป็นรูปธรรมและรูปแบบอื่นนั้น นายธีระชัยกล่าวว่าเห็นด้วยและเป็นเรื่องที่ต้องเร่งรัด แต่ขอบอกว่าไม่ตรงกับพฤติกรรมกรณีที่ผ่านมาซึ่งรัฐบาลไปเน้นการแจกเงินหมื่นอันเป็นประชานิยมที่ไม่สร้างชาติให้ยั่งยืนดังเช่นโครงสร้างพื้นฐาน